วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ยามเมื่อฝนตกออกนอกบ้านต้องเอาร่มไป 2 คัน

ชาวญี่ปุ่นชอบดอกไม้ไฟมาก ที่ตำบลแห่งหนึ่งมีแม่น้ำสายหนึ่งคั่นใกล้เคียงกับกรุงโตเกียว เมื่อหลายปีก่อนเคยเปิดงานดอกไม้ไฟอย่างมโหฬารติดต่อกัน ในวันที่เปิดงานดอกไม้ไฟ มีผู้คนพากันไปชมหลายหมื่นคน ตามธรรมดาร้านค้าขายอาหารที่สถานีแห่งนั้นมีกิการซบเซามาก แต่ในวันนั้นร้านอาหารผลิตอาหารเท่าไรก็ไม่พอจำหน่ายให้กับผู้คนจำนวนมากได้

ภายในบริเวณงานเป็นเขื่อนแม่น้ำที่มืดมนแห่งหนึ่ง แต่ผู้คนที่ชมงานพากันมาอย่างไม่ขาดสาย เมื่อเวลานานเข้า ทุกคนรู้สึกคอแห้งผาก พร้อมกับอ่อนเพลีย ที่ข้างล่างเขื่อนเป็นต้นหญ้าเขียวชอุ่ม คิดจะนั่งลงพักสักครู่ก็ไม่ใช่ง่ายดายเช่นนั้น ในที่สุดมีคนเริ่มต้นทำการค้ากับผู้คนเหล่านี้
“คนละ 10 เซ็นต์ก็จะนั่งได้แล้ว 10 เซ็นต์ก็จะนั่งได้แล้ว ”

เสียงตะโกนขายเช่นนี้ เมื่อพินิจพิเคราะห์ดู คือการขายกระดาษหนังสือพิมพ์เก่าแทนเสื่อรองนั้น กระดาษหนังสือพิมพ์เก่า ๆ ราคาแผ่นละ 10 เซ็นต์ เฉพาะหน้านี้ นับว่าเป็นการขายที่ไม่เลวเลย ครั้นเมื่อทอดสายตามองไปโดยรอบอีกครั้ง เด็กหนุ่มสาววันรุ่นหลายคนร้องตะโกนดังลั่น นี่คือชาวจีนที่มาจากกรุงโตเกียวมาชมงานดอกไม้ไฟในครั้งนี้คิดหาวิธีทำการค้าขายได้อย่างฉับไว การค้าขายอย่างนี้ ในคืนวันนั้นชาวญี่ปุ่นบางคนได้เลียนแบบทำเหมือนกัน แต่ผู้ที่คิดทำการค้าอย่างนี้ครั้งแรกสุดคือชาวจีน ซึ่งเขาได้กำไรงามมากที่สุด

เพียงแต่สายตาพบเห็นก็เกิดความมีความคิดให้อย่างฉับไว เมื่อเผชิญหน้าเหตุการณ์อันผิดปกติ ก็คิดผูกพันไปถึงการหาเงินทันที การอาศัยความว่องไวอย่างนี้ คงมีแต่ชาวจีนเท่านั้นที่มีความสามารถทำได้



เมื่อก่อนหน้ามหาสงครามโลกครั้งที่สอง ในเทศกาลดอกซากุระที่เมืองโอซากาอากาศตอนเช้าท้องฟ้าปลอดโปร่ง ครั้นเมื่อเวลาตอนเที่ยง อากาศเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน มีเถ้าแก่คนหนึ่งหัวไวมาก เขาสั่งให้ลูกจ้างเข็นรถบรรทุกร่มกันฝนที่มีคุณภาพเลว ๆ ซึ่งขายเหลืออยู่ เพื่อจำหน่ายให้กับผู้ที่เดินทางมาชมดอกซากุระในที่สุดฝนได้ตกลงมา ร่มถูกจำหน่ายหมดเกลี้ยงในเวลาชั่วพริบตาเดียว

ไม่ว่าจะเป็นงานดอกไม้ไฟ หรือการชมดอกซากุระ ในเวลาที่ฝนตก ขณะที่ตนเองมีความรู้สึกลำบาก ก็คงปล่อยให้มันผ่านไปเฉย ๆ เช่นนั้น นี่เป็นความนึกคิดของคนธรรมดาทั่วไป แม้ว่าถึงคิดได้ว่าควรทำการค้าอย่างนี้สักครั้ง หรือมิฉะนั้นก็เลิกล้มไปด้วยความคิดที่ว่า “การหาเงินจากจุดอ่อนของผู้อื่นอย่างไม่ดีงาม” ผู้มี่มีความคิดเช่นนี้ก็คือคนธรรมดาทั่วไป มีแต่ชาวจีนเท่านั้น ไม่ว่าคนอื่นจะนึกอย่างไร ก็ช่างปะไร ไม่เห็นจะเสียหน้าตาแม้แต่น้อย เมื่อสรุปแล้ว ถึงอย่างก็ต้องลองดูสักครั้งครั้ง นี่เหละ ธาตุแท้ของพ่อค้า เท่าที่เรียกกันว่า “การค้า” แม้ว่ามีระดับแตกต่างกัน ถึงอย่างไรก็ต้องหาเงินจากการอ้อนวอนผู้อื่นเสมอ

เหมือนดังเช่นอากาศอาจมีฝนตกลงมาขณะนั้น ถ้ายืมร่มคันหนึ่งให้ผู้อื่นใช้อาจเป็นโอกาสหาเงินได้เหมือนกัน ดังนั้นเมื่อออกจากบ้านจึงต้องเอาร่มไป 2 คัน ความคิดเห็นทำนองนี้ เมื่อกล่าวกับการค้าแล้วมีความจำเป็นอย่างยิ่ง

เหมือนดังเช่น น้ำท่วมกรุงเทพ ที่ผ่านมาเมื่อเร็ว ๆ นี้ บุตรหลานคนจีนที่อยู่ตามปากซอย ใช้เรือหรือรถสามล้อ หรือรถเข็นรับจ้างบรรทุกส่งผู้คนจากในซอยหรือริมบาทวิถีมาขึ้นรถเมล์ นี่เป็นโอกาสหาเงินได้คล่องตอนหนึ่ง ทุกคนยินดีจ่ายเงินให้เด็กเหล่านี้

เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีคนจีนหัวดีมาก เขาพิมพ์ภาพขยายนามบัตรฉบับละ 100 บาทที่มีเลข 9 เรียงกัน และข้างบนมีรูปพระพุทธรูปหลายแบบออกมาจำหน่าย ทำให้เข้าได้กำไร 2 หรือ 3 ล้านบาท ถ้าจะกล่าวกันตามเหตุผล คงไม่มีใครเชื่อว่าจะจำหน่ายได้ เพราะไม่ทราบว่าจะเป็นประโยชน์อะไร แต่ปัจจุบันมีผู้พิมพ์นาบัตรอย่างนี้ 3 หรือ 4 แห่งแล้ว ปรากว่าพิมพ์ไม่ทันจำหน่าย ตามที่ได้ทราบมาว่าการจำหน่ายนานบัตรอย่างนี้ได้อย่างแพร่หลายเพราะเป็นของใหม่แปลกเท่านั้น

ผู้ที่คิดการค้าทำนองนี้มีแต่คนจีนเท่านั้น