วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ยามเมื่อฝนตกออกนอกบ้านต้องเอาร่มไป 2 คัน

ชาวญี่ปุ่นชอบดอกไม้ไฟมาก ที่ตำบลแห่งหนึ่งมีแม่น้ำสายหนึ่งคั่นใกล้เคียงกับกรุงโตเกียว เมื่อหลายปีก่อนเคยเปิดงานดอกไม้ไฟอย่างมโหฬารติดต่อกัน ในวันที่เปิดงานดอกไม้ไฟ มีผู้คนพากันไปชมหลายหมื่นคน ตามธรรมดาร้านค้าขายอาหารที่สถานีแห่งนั้นมีกิการซบเซามาก แต่ในวันนั้นร้านอาหารผลิตอาหารเท่าไรก็ไม่พอจำหน่ายให้กับผู้คนจำนวนมากได้

ภายในบริเวณงานเป็นเขื่อนแม่น้ำที่มืดมนแห่งหนึ่ง แต่ผู้คนที่ชมงานพากันมาอย่างไม่ขาดสาย เมื่อเวลานานเข้า ทุกคนรู้สึกคอแห้งผาก พร้อมกับอ่อนเพลีย ที่ข้างล่างเขื่อนเป็นต้นหญ้าเขียวชอุ่ม คิดจะนั่งลงพักสักครู่ก็ไม่ใช่ง่ายดายเช่นนั้น ในที่สุดมีคนเริ่มต้นทำการค้ากับผู้คนเหล่านี้
“คนละ 10 เซ็นต์ก็จะนั่งได้แล้ว 10 เซ็นต์ก็จะนั่งได้แล้ว ”

เสียงตะโกนขายเช่นนี้ เมื่อพินิจพิเคราะห์ดู คือการขายกระดาษหนังสือพิมพ์เก่าแทนเสื่อรองนั้น กระดาษหนังสือพิมพ์เก่า ๆ ราคาแผ่นละ 10 เซ็นต์ เฉพาะหน้านี้ นับว่าเป็นการขายที่ไม่เลวเลย ครั้นเมื่อทอดสายตามองไปโดยรอบอีกครั้ง เด็กหนุ่มสาววันรุ่นหลายคนร้องตะโกนดังลั่น นี่คือชาวจีนที่มาจากกรุงโตเกียวมาชมงานดอกไม้ไฟในครั้งนี้คิดหาวิธีทำการค้าขายได้อย่างฉับไว การค้าขายอย่างนี้ ในคืนวันนั้นชาวญี่ปุ่นบางคนได้เลียนแบบทำเหมือนกัน แต่ผู้ที่คิดทำการค้าอย่างนี้ครั้งแรกสุดคือชาวจีน ซึ่งเขาได้กำไรงามมากที่สุด

เพียงแต่สายตาพบเห็นก็เกิดความมีความคิดให้อย่างฉับไว เมื่อเผชิญหน้าเหตุการณ์อันผิดปกติ ก็คิดผูกพันไปถึงการหาเงินทันที การอาศัยความว่องไวอย่างนี้ คงมีแต่ชาวจีนเท่านั้นที่มีความสามารถทำได้



เมื่อก่อนหน้ามหาสงครามโลกครั้งที่สอง ในเทศกาลดอกซากุระที่เมืองโอซากาอากาศตอนเช้าท้องฟ้าปลอดโปร่ง ครั้นเมื่อเวลาตอนเที่ยง อากาศเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน มีเถ้าแก่คนหนึ่งหัวไวมาก เขาสั่งให้ลูกจ้างเข็นรถบรรทุกร่มกันฝนที่มีคุณภาพเลว ๆ ซึ่งขายเหลืออยู่ เพื่อจำหน่ายให้กับผู้ที่เดินทางมาชมดอกซากุระในที่สุดฝนได้ตกลงมา ร่มถูกจำหน่ายหมดเกลี้ยงในเวลาชั่วพริบตาเดียว

ไม่ว่าจะเป็นงานดอกไม้ไฟ หรือการชมดอกซากุระ ในเวลาที่ฝนตก ขณะที่ตนเองมีความรู้สึกลำบาก ก็คงปล่อยให้มันผ่านไปเฉย ๆ เช่นนั้น นี่เป็นความนึกคิดของคนธรรมดาทั่วไป แม้ว่าถึงคิดได้ว่าควรทำการค้าอย่างนี้สักครั้ง หรือมิฉะนั้นก็เลิกล้มไปด้วยความคิดที่ว่า “การหาเงินจากจุดอ่อนของผู้อื่นอย่างไม่ดีงาม” ผู้มี่มีความคิดเช่นนี้ก็คือคนธรรมดาทั่วไป มีแต่ชาวจีนเท่านั้น ไม่ว่าคนอื่นจะนึกอย่างไร ก็ช่างปะไร ไม่เห็นจะเสียหน้าตาแม้แต่น้อย เมื่อสรุปแล้ว ถึงอย่างก็ต้องลองดูสักครั้งครั้ง นี่เหละ ธาตุแท้ของพ่อค้า เท่าที่เรียกกันว่า “การค้า” แม้ว่ามีระดับแตกต่างกัน ถึงอย่างไรก็ต้องหาเงินจากการอ้อนวอนผู้อื่นเสมอ

เหมือนดังเช่นอากาศอาจมีฝนตกลงมาขณะนั้น ถ้ายืมร่มคันหนึ่งให้ผู้อื่นใช้อาจเป็นโอกาสหาเงินได้เหมือนกัน ดังนั้นเมื่อออกจากบ้านจึงต้องเอาร่มไป 2 คัน ความคิดเห็นทำนองนี้ เมื่อกล่าวกับการค้าแล้วมีความจำเป็นอย่างยิ่ง

เหมือนดังเช่น น้ำท่วมกรุงเทพ ที่ผ่านมาเมื่อเร็ว ๆ นี้ บุตรหลานคนจีนที่อยู่ตามปากซอย ใช้เรือหรือรถสามล้อ หรือรถเข็นรับจ้างบรรทุกส่งผู้คนจากในซอยหรือริมบาทวิถีมาขึ้นรถเมล์ นี่เป็นโอกาสหาเงินได้คล่องตอนหนึ่ง ทุกคนยินดีจ่ายเงินให้เด็กเหล่านี้

เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีคนจีนหัวดีมาก เขาพิมพ์ภาพขยายนามบัตรฉบับละ 100 บาทที่มีเลข 9 เรียงกัน และข้างบนมีรูปพระพุทธรูปหลายแบบออกมาจำหน่าย ทำให้เข้าได้กำไร 2 หรือ 3 ล้านบาท ถ้าจะกล่าวกันตามเหตุผล คงไม่มีใครเชื่อว่าจะจำหน่ายได้ เพราะไม่ทราบว่าจะเป็นประโยชน์อะไร แต่ปัจจุบันมีผู้พิมพ์นาบัตรอย่างนี้ 3 หรือ 4 แห่งแล้ว ปรากว่าพิมพ์ไม่ทันจำหน่าย ตามที่ได้ทราบมาว่าการจำหน่ายนานบัตรอย่างนี้ได้อย่างแพร่หลายเพราะเป็นของใหม่แปลกเท่านั้น

ผู้ที่คิดการค้าทำนองนี้มีแต่คนจีนเท่านั้น

วันพุธที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เงินตกแม้บาทเดียวก็ต้องเก็บ

ชาวจีนที่อยู่ภายในประเทศไทย ได้เปิดร้านค้าขายข้าวสารเป็นจำนวนมาก ขณะที่เลือกทำการค้าขาย ขั้นแรกของชาวจีนจะต้องเพ่งเล็งไปถึงสิ่งของจำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวันก่อนอื่น ดังนั้นชาวจีนในประเทศไทยจึงมีสมญานามกันว่า "ราชาข้าวสาร"

ในกรุงเทพ มีเถ้าแก่ที่ร้านค้าข้าวสารใหญ่ 1 ร้านใน 3 ร้าน เป็นคนเข้มงวด กวดขัน เคร่งครัดอย่างยิ่ง บางครั้งเขาจะตำหนิลูกหนุ่ม ๆ อย่างชนิดที่ไม่ยอมฟังคำโต้แย้งประการใดทั้งสิ้น



"จงมองดูที่พื้น สิ่งของสำคัญตกหล่นลงพื้นแล้ว"

เขาร้องเตือนลูกจ้าง ลูกจ้างรีบก้มมองลงไปที่พื้นทันที แต่ไม่เห็นมีอะไรทั้งสิ้น

"ไม่เห็นมีอะไรเลย"

คำตอบอย่างนี้ ทำให้เถ่าแก่ตำหนิยิ่งขึ้น เมื่อได้ผ่านหลายครั้งอย่างนี้แล้ว จึงเริ่มต้นแนะนำบนพื้นข้างล่างกระสอบข้าวสารมีเมล็ดข้าวสารตกหล่นอยู่ใช้ให้เขาเก็บข้าวสารขึ้นมา จัดการเอาใส่ภายในกระสอบข้าวสาร

แต่ทว่ามิได้กล่าวตำหนิเถ้าแก่คนขี้เหนียวเกินไป เขาเป็นผู้ที่เข้าใจผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาเขามากทีเดียว เขามีสายตามองเห็นผู้ที่ประพฤติตนเป็นคนดีอย่างไม่จอมปลอมกับผู้ที่ไม่รู้จักปาบบุณคุณโทษต้องประสบกับความลำบากตั้งแต่ต้นจนปลาย กับตอบผู้อื่นด้วยความสุภาพและเที่ยงธรรม อีกด้านหนึ่ง ยามเล่นหาความสนุกสนาน เขากลายเป็นคนเจ้าชู้ เจ้าสำราญ ยอมจับจ่ายเงินมาสร้างสรรค์บรรยากาศอย่างนี้ด้วย

แต่ทว่าเกี่ยวกับการค้าขายก็ไม่แตกต่างกันแม้แต่น้อย เขามีปรัชญาการค้าของเขา ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังสังเพียงใด หรือผู้ที่มีความดีเด่นสักเพียงใด หรือผู้ที่มีชื่อเสียงทางวัฒนธรรมเหล่านี้ได้มาพบปะกับเขาเวลานั้น นอกจากเรื่องข้าวสารแล้วก็ไม่สนใจเรื่องอย่างอื่นแม้แต่น้อบ ก่อนอื่นกล่าวถึงพ่อค้าเวลาเป็นเงินเป็นทอง ดังนั้นจึงไม่รู้สึกสนใจกับคนที่มีเวลาว่างเปล่าเหล่านั้น

ถึงแม้ว่าเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังของโลก แม้ว่าอยู่ในสภาพการณ์อย่างไรที่ถูกแนะนำ เขาก็จะปฏิเสธไม่ยอมพบด้วยอย่างเด็ดขาด

เมื่อเป็นเช่นนี้พวกท่านพบเห็นเหรียญบาทอันหนึ่งตกอยู่บนพื้นถนน ท่านจะเก็บมันขึ้นมาหรือไม่?

“ฉันจะเก็บเมื่อพบเห็นเงินร้อยกว่าบาทขึ้นไป”

เจ้าหน้าที่สาวชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งตอบอย่างนี้ เนื่องจากมีความคิดเห็นอย่างนี้ ดังนั้นจึงไม่มีวาสนากับเงินทอง นี่เมื่อกล่าวสำหรับชาวจีนแล้ว จากประสบการณ์ที่พวกเขาได้พบเห็นผ่านมาด้วยตนเอง เมื่อมีเงินอยู่ 1 บาทแล้วบวกไป 99 บาท ก็จะได้ 100 บาท

มีสุภาษิตจีนคำหนึ่งกล่าวว่า “ผู้ที่จ้องดูบนพื้นดินไม่ควรไว้ใจเขาในเรื่องเงินทอง” ซึ่งหมายความถึงคนที่โลภมากอย่างไม่รู้จักอิ่ม
สายตาจ้องจับ บนพื้นดินอย่างเป็นประกายโดยมีความคิดอยากได้รับผลประโยชน์บางอย่างที่ไม่ต้องทำงานเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย บุคคลประเภทนี้บุคคลประเภทนี้ย่อมไม่ควรไว้ใจเรื่องเงินทอง ตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น หมายถึงโอกาสบังเอิญ มีความรู้สึกทางจิตใจ เมื่อพบเห็นเงินบนพื้นถนน ดังนั้นขณะที่ข้ามถนนตรงทางสี่แยก ไม่ว่าจะมีเงินตกหล่นอยู่บนพื้นถนนเท่าใด ล้วนแต่ต้องนึกถึงต เองก่อนอื่นเป็นสำคัญ นี่เป็นทัศนะความร่ำรวย ของชาวจีนคนหนึ่งที่อยู่ในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ชาวญี่ปุ่นก็มีสุภาษิตคำหนึ่งเหมือนกันที่กล่าวว่า

“อย่าดูหมิ่นเงิน 1 เซ็นต์ เงิน 1 เซ็นต์นี้สามารถทำให้วีรบุรุษสะดุดหกล้มได้” กับคำพังเพยที่กล่าวไว้ว่า “พระราชอาณาจักรจะเจริญรุ่งเรืองหรือล่มจมได้อยู่ที่เงิน 1 เซ็นต์”


วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การเก็บเงินด้วยการซื้อต่างหูทองคำ


บุตรของชาวจีนไม่ว่าชายหรือหญิง หลังจากเกิดแล้วภายในปีหนึ่งหรือสองปี ส่วนมากแล้วจะต้องเจาะรูหูให้พวกเขา เอาน้ำมันมะกอกทาให้ดี เมื่อถูอยู่สักครู่หนึ่งแล้ว เองแทงลงไปเป็นอันใช้การได้ แต่ถ้าหากให้แพทย์เจารูหูก็ต้องสิ้นเปลืองเงินมาก แน่นอนชาวจีนเหล่านี้จะไม่ยอมใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่ายเช่นนี้ ตามธรรมดาไหว้วานหญิงชราที่เชียวชาญ เจาะรูหูให้พวกเด็ก ๆ



หลังจากที่ได้เจาะหูหูแล้ว ภายในหนึ่งเดือน ถ้าหากไม่ได้ต่างหูทองคำบริสุทธิ์มาใส่ ย่อมเป็นอันตรายต่อสุขภาพร่างกาย เมื่อพิษกำเริบขึ้นแล้ว ก็จะรู้สึกคันแสนคันตลอดร่างกายทีเดียว

เมื่อได้ใส่ต่างหูทองคำบริสุทธิ์อย่างนี้แล้ว ยามใดที่เกิดเหตุต้องออกเดินทางยังสามารถเอามันมาขายเป็นทุนรอนเยียวยาได้ในยามคับขัน นี่เป็นประสบการณ์ที่ได้มาจากสงครามกลางเมืองบนผืนแผ่นดินใหญ่ของจีนมานานหลายปี และเป็นปัญญาความรู้ในการครองชีพของพวกเขาที่ได้ปรากฏขึ้นในประวัติศาสตร์อันเกิดจากความหิวโหย ซึ่งอุบัติขึ้นจากธรรมชาติหรือมนุษย์ก็ตามที นอกจากนี้ยังมีการนำเอากำไลข้อมือ กำไลเท้า กับสายสร้อยที่เป็นทองคำอันบริสุทธิ์ติดตัวไปด้วย ซึ่งไม่เหมาะสมกับมาตราฐานการครองชีพของเขา ล้วนแต่เกิดจากความคิดทำนองนี้

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าหากเราจะใช้ความสังเกตอย่างพินิจพิเคราะห์กันแล้ว ก็จะเห็นได้ชัดว่า ทำไมชาวจีนหรือบุตรหลานชาวจีนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย จึงชอบสะสมทองรูปพรรณกันแทบทุกคน ไม่ว่าฐานะของพวกเขาแตกต่างกันอย่างห่างไกล คล้ายกับพวกเขาตั้งใจประกวดประชันใส่ทองรูปพรรณกันเช่นนั้น แต่เนื้อแท้แห่งความจริงมีจุดประสงค์อยู่ที่การสะสมเงินทอง กับการเตรียมพร้อมในยามเกิดเหตุฉุกเฉินในเมื่อเกิดภัยทางธรรมชาติขึ้น ซึ่งพวกคนไทยคงนึกไม่ถึง

ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่า คนไทยส่วนใหญ่ที่แต่งกายหรือประดับทองรูปพรรณนั้นมักเป็นการอวดฐานะของตนให้เท่าเทียมผู้อื่น ต้องการให้ตนมีหน้าตาว่าไม่ใช่คนจนขัดสนยากไร้

ยิ่งกว่านั้นชาวจีนมักเอาเพชรพลอยหรือเงินทองซ่อนไว้ใต้หมอน ยามใดที่เกิดอัคคีภัยขึ้น ก็สามารถหอบหมอนหนีออกจากแหล่งที่เกิดเพลิงไหม้ได้ทันที ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่า ไม่ว่าจะเป็นโจรผู้ร้ายที่ฉลาดอย่างไร คงไม่สนใจกับหมอนใบนั้นเป็นอันขาด

กล่าวกันตามความจริง พวกเราไม่อยากคิดมากมายไปยิ่งกว่านี้ ถ้าหากสามารถรักษาทรัพย์สมบัติอันมีค่าไว้ได้ภายในสังคมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา พร้อมกับได้รับความอบอุ่นสบายใจ ถึงแม้ว่าจะเป็นแหวนทองคำสักวงหนึ่งคงไม่ถูกมองเห็นว่าเป็นสิ่งที่มีค่าสูง

วันอาทิตย์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การสร้างนิสัยทำการค้าแบบของชาวจีน

นี่หมายความว่า "ความเชื่อถือหรือเครดิต" มีความสำคัญต่อชาวจีนที่สุด ความจริงนิสัยใจคอของคนเรา แต่ละคนแต่ละแบบแต่ละอย่างต่าง ๆ กันโดยเฉพาะประเทศจีนที่มีผืนแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาลอย่างยิ่ง จากการแตกต่างถิ่นที่กำเนิดหรือมณฑล ภาษาคำพูด ขนบธรรมเนียม นิสัยกับอาหาร เหล่านี้ย่อมแตกต่างกันแต่ละคน เมื่อนั้นจากสิ่งแวดล้อมในการครองชีพที่ไม่เหมือนกัน นิสัยใจคอจึงแตกต่างกันด้วย

มีชาวจีนชราคนหนึ่งบอกว่า "ทุกแห่งล้วนแต่เหมือนกัน คนหนุ่มสมัยนี้ ช่างไม่มีระเบียบอะไรเลย" "ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนชาวญี่ปุ่นเช่นนั้น โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นที่ชั่วร้าย" เขากล่าวออกมาอย่างหน้านิ่วคิ้วขมวด

ชาวจีนโพ้นทะเลไกลที่แก่เฒ่ายังมีอุดมการณ์ของชาวจีนเหล่านี้โดยยอมรับว่าบุตรหลานกับเชื้อสายของตนเหมือนกับชาวญี่ปุ่น ล้วนได้กลายเป็นคนฉลาดที่วู่วาม ประกอบกิจการด้วยความลุกลิ้ลุกลน โดยลืม "สัจธรรม" "คุณธรรม" ของพวกเขาเสียสิ้นเชิง ได้แต่สนใจกับเหตุการณ์เฉพาะหน้า ไม่ได้สนใจกับอนาคต แม้แต่น้อย เมื่อเป็นเช่นนี้ เกี่ยวกับอนาคตของพี่น้องร่วมชาติ ทำให้วางใจลงไม่ได้จริง ๆ

เมื่อสรุปแล้ว นิสัยอันเป็นขนบธรรมเนียมแบบฉบับของชาวจีนภาคโพ้นทะเลไกลก็คือ

เห็นแก่ "หน้าตา" ยิ่งกว่าชีวิตของตนเอง ต้องเห็นแก่ "หน้าตา" ของตนเป็นธรรมดา แม้แต่ฝ่ายตรงข้ามก็ยอมรับนับถือด้วย

ความสำคัญรองลงมาก็คือ "ความขยันขันแข็ง" ทั้งที่ได้ประสบความสำเร็จแล้ว ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงแต่ประการใด โดยไม่ฟุ่มเฟือยเป็นอันขาด พยายามเขียมเขม็ดแขม่เช่นเดิน

โดยมิได้สนใจกับกาลเวลา นี่ก็อาจจะเห็นได้จากในท่ามกลางชีวติชาวจีนภาคโพ้นทะเลไกลเหมือนดังเช่น การที่เขาจะเชื่อถือไว้วางใจผู้อื่นต้องสิ้นเวลายาวนานถึง 10 ปี ความเห็นต้องใช้เวลา 10 ปีเป็นหน่วยหนึ่งเช่นกันจึงจะเป็นประจักษ์พยานยืนยันความจริง

ในขณะที่พวกเขาสนทนา ชอบเจรจาถ้อยคำที่อ่อนน้อมถ่อมตน นี่แสดงว่าพวกเขามีความรู้ เพื่อให้สมดังใจปรารถนา มักใช้คำอุปมาอุปไมย สุภาษิต คำพังเพย กับเงื่อนใขการครองชีพ สำคัญเหล่านี้ เหมือนดังเรื่องนั้นคล้ายกับ "ดีดพิณให้โคฟัง" (ถ้าใช้ภาษาไทย คงเรียกว่า "สีซอให้ความฟัง") ย่อมไม่เหมือนกับได้คาดคิดไว้ หรือจ้างเขาไว้เหมือนกับ "เอาม้าที่กระหายน้ำมาเฝ้าน้ำ" "สุนัขหิวเฝ้าเนื้อ" สู้ไม่จ้างจะดีกว่า

ไม่ต้องการใบเสร็จกับดวงตราประทับ

ไม่ต้องการใบเสร็จหรือเอกสารสัญญาในการกู้ยืมเงิน ... นี่คือหลักการค้าของชาวจีนภาคโพ้นทะเลไกล

"ใบเสร็จ เอกสารที่ประทับดวงตรา คนรับรองหนังสือสัญญาเหล่านี้ ถ้ามีเจตนาไม่ใช้คืน ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางได้กลับคืน"



บรรดาชาวจีนล้วนแต่พากันกล่าวเช่นนี้ นี่แสดงให้เห็นว่าเป็นขุนศึกที่ชำนาญการค้าตระหนักแจ้งในอุปนิสัยใจคอของคนเราเป็นอย่างดีแล้ว

ถ้าหากจะอาศัยเอกสารและรูปร่างเช่นนี้มาแสดงเป็นมิตร เมื่อนั้นย่อมเชื่อถือได้แล้ว ตามที่ทราบกันมาว่าการที่ชาวจีนเชื่อถือไว้ใจบุคคลหนึ่งอย่างจริงใจ ก็จะต้องสิ้นเวลาถึง 10 ปี แต่ยามใดที่ได้เชื่อถือไว้ใจบุคคลผู้นั้นแล้ว มิไยว่าจะเกิดสงครามหรือว่าฝ่ายตรงข้ามอยู่ในฐานะศัตรู หรือกลายเป็นประชาชนที่พ่ายแพ้สงคราม ต้องตกยากเข้าที่อับจน ... เพื่อความเป็นมิตรภาพและความเชื่อถือไว้ใจของเขา ก็ยังยินดียอมพลีชีวิตของตนได้ด้วย

ยามใดผู้ที่เขาเชื่อถือไว้ใจต้องผ่ายแพ้ล้มเหลวลง เมื่อนั้นเขาก็ได้แต่เพียงห่อไหล่ขึ้นแล้วบอกว่า
"สุดปัญญาแล้ว"
ถ้าหากเข้าใจว่าผู้ที่พ่ายแพ้ล้มเหลวเป็นความอับอายขายหน้าของตนเองพร้อมกับเจ็บแค้นใจที่ตนเชื่อถือไว้ใจที่ได้พ่ายแพ้ล้มเหลวลง มีแต่จะได้รับความอับอายขายหน้ายิ่งขึ้น คือถูกผู้ที่อยู่ใกล้เคียงโดยรอบดูหมิ่นเหยียดหยาม

ถ้าเช่นนั้นความไม่เชื่อถือไว้ใจกันมีส่วนที่ดีหรือไม่? เนื่องจากความสามัคคี ระหว่างชาวจีนด้วยกันมั่นคงแข็งเกร่งเหลือเกิน แม้ว่าไม่ได้กล่าวออกมา แต่การไม่รักษาสัจวาจาที่เชื่อถือก็จะแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว แต่การไม่รักษาสัจวาจาความเชื่อครั้งเดียวเท่่านั้น มิใช่แต่จะประกอบกิจการค้า แม้ว่าการครองชีพ ก็ยังไม่สามารถดำรงต่อไปได้อีกแล้ว

วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การขาดทุนของพวกพ้องคือการขาดทุนของตัวเอง

ความสัมพันธ์พวกเขากับญาติพี่น้อง (สมาคมตระกูล) และภูมิลำเนาเดิม (สมาคมชาวเมือง) มีความสามัคคีกลมเกลียวกันอย่างแข็งแกร่งเหลือเกิน ต่างฝ่ายสนับสนุนช่วยเหลือกันอย่างแข็งขัน คนมีหรือจนต่างไปมาหาสู้กัน ต่างฝ่ายเชื่อถือกันด้วยฉันมิตร รักใคร่สนิทสนมกันยิ่งกว่าพี่น้ออง โดยไม่ยอมเชื่อถือคำลือมาคลายความเชื่อถือเพื่อนฝูง

ก่อนหน้าที่จะเริ่มต้นดำเนินกิจการใหญ่โตอย่างหนึ่งมีผู้คนหลายคยร่วมมือกันจัดตั้งประกอบขึ้น ผู้ที่มีเงินก็ออกเงิน ผู้มีฝีมือทางเทคนิคก็ออกฝีมือทางเทคนิค ผู้มีความสามารถก็ออกแรง ภาคใต้การร่วมมือที่สนิทแนบแน่นเช่นนี้ สามัคคีกลมเกลียวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พยายามหลีกเลี่ยงการแข่งขัน ชิงดีชิงเด่นกัน เมื่อถึงคราวทะเลาะโต้เถียงกันอย่าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยังต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข "ความสัมพันธ์ของสุภาพชนขาดสิ้น มิควรกล่าวคำผรุสวาท"

เมื่อบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนที่ชาวจีนโพ้นทะเลไกลได้จัดตั้งประกอบขึ้นมีกิจการเจริญรุ่งเรืองแข็งแรง ก็ต้องมีการปลุกฝังผู้คนไว้สืบต่อเนื่อง หรือมิฉนั้นก็ต้องเรียกร้องญาติมิตรสหายที่อยู่ในภูมิลำเนาเดิม หรือหมู่บ้านเดิม หรือเพิ่งเล็งเห็นเชื้อสายของอาชีพเดียวกัน เมื่อมีโอกาสที่จะปรึกษาหารือกับพวกพ้อง ออกเงินทุนโดยไม่คิดเอาดอกเบื้ย พร้อมกับไม่ต้องการเอกสารหลักฐานแต่ประการใด ให้เปิดร้านเล็ก ๆ ดำเนินการได้อย่างอิสระตราบใดเมื่อคนรุ่นหลังยังไม่สามารถประกอบกิจการไปได้อย่างอิสระ จะต้องปฏิบัติไปตามเงื่อนไขดังกล่าวอย่างเคร่งครัดต่อไปนี้ "แม้ว่าได้ออกเงินไม่ควรออกเสี่ยง อีกทั้งไม่ควรเอาผลประโยชน์จากเงินที่หามาได้"

บางทีท่านอาจรู้สึกประหลาดใจต่อชาวจีนโพ้นทะเลไกลที่ถูกคนเห็นว่า "ขี้เหนียว" เหล่านี้ได้ แต่นี่มิได้กล่าวว่าบุคคลนี่เป็นคนอย่างไร การที่พวกเขากระทำดังนี้ เป็นการลงทุนให้ตัวเองหรือเชื้อชาติตนเองเจริญรุ่งเรือง เมื่อกล่าวถึงเรื่องการหาเงิน ยังจะต้องหลังจากนี้ ก็คือเมื่อคนรุ่นหลังเจริญรุ่งเรืองแล้วจึงจะกล่าวถึงเรื่องหาเงิน